โวหารรสในวรรณคดีไทย
รสแห่งกาพย์กลอนไทยมี ๔ รส
๑. เสาวรจนีย์ (บทชมโฉม)
คือการเล่าชมความงามของตัวละครในเรื่อง ซึ่งอาจเป็นตัวละครที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ หรือสัตว์ซึ่งการชมนี้อาจจะเป็นการชมความเก่งกล้าของกษัตริย์
ความงามของปราสาทราชวังหรือความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง เช่น บทชมโฉมนางมัทมา
โดยท้าวชัยเสนรำพันไว้ ในวรรคดีเรื่องมัทนะพาธา
.....เสียงเจ้าสิเพรากว่า ดุริยางคะดีดใน
ฟากฟ้าสุราลัย สุรศัพทะเริงรมย์
ยามเดินบนเขินขัด กละนัจจะน่าชม
กรายกรก็เร้ารม ยะประหนึ่งระบำสรวย
ยามนั่งก็นั่งเรียบ และระเบียบเขินขวย
แขนอ่อนฤเปรียบด้วย ธนุก่งกระชับไว้
พิศโฉมและฟังเสียง ละก็เพียงจะขาดใจ ...
(พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
.................................................................................................
บทชมนางเงือก ซึ่งติดตามพ่อแม่มาเพื่อพาพระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร
จากเรื่อง พระอภัยมณี
.....บทกษัตริย์ทัศนานางเงือกน้อย ดูแช่มช้อยโฉมลาทั้งเผ้าผม
ประไพพักตร์ลักษณ์ล้ำล้วนขำคม ทั้งเนื้อนมนวลเปลปงออกเต่งทรวง
ขนงเนตรเกศกรอ่อนสะอาด ดังสุรางค์นางนาฏในวังหลวง
พระเพลินพิศคิดหมายเสียดายดวง แล้วหนักหน่วงนึกที่จะหนีไป
(สุนทรภู่)
....................................................................................................
.....เหลือบเห็นกวางขำดำขลับ งามสรรพสะพรั่งดังเลขา
งามเขาเห็นเป็นกิ่งกาญจนา งามตานิลรัตน์รูจี
คอก่งเป็นวงราววาด รูปสะอากราวนางสำอางศรี
เหลียวหน้ามาดูภูมี งามดังนารีชำเลืองอาย
ยามวิ่งลิ่วล้ำดังลมส่ง ตัดตรงทุ่งพลันผันผาย
(พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
*************************************************
๒. นารีปราโมทย์ (บทเกี้ยว โอ้โลม) คือการกล่าวข้อความแสดงความรัก
ทั้งที่เป็นการพบกันในระยะแรกๆ และในการโอ้โลมปฏิโลมก่อนจะถึงบทสังวาสนั้นด้วย
.....ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้นเกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
เจ้าเป็นถ้ำไพขอให้พี่ เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่ครอง
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป
(สุนทรภู่)
******************************************************
๓. พิโรธวาทัง(บทตัดพ้อ) คือการกล่าวข้อความแสดงอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งแต่น้อยไปจนมาก จึงเริ่มตั้งแต่ ไม่พอใจ โกรธ ตัดพ้อ ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เสียดสี และด่าว่าอย่างรุนแรง
.....น้ำใจนางเหมือนน้ำค้างบนไพรพฤกษ์ เมื่อยามดึกดังจะรองเข้าดื่มได้
ครั้งรุ่งแสงสุรีย์ฉายก็หายไป เพิ่งเห็นใจเสียเมื่อใจจะขาดรอน
(ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
.........................................................................
.....ครั้งนี้เสียรักก็ได้รู้ ถึงเสียรู้ก็ได้เชาวน์ที่เฉาฉงน
เป็นชายหมิ่นชายต้องอายคน จำจนจำจากอาลัยลาน
(เจ้าพระยาพระคลัง(หน))
....................................................................................
บทตัดพ้อที่แสดงทั้งอารมณ์รักและแค้นของ อังคาร กัลยาณพงศ์ จากบทกวี เสียเจ้า
.....จะเจ็บจำไปถึงปรโลก ฤๅรอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ
(อังคาร กัลยาณพงศ์)
...........................................................................
บทตัดพ้อที่แทรกอารมณ์ขันของ จากบทกวี ปากกับใจ
.....เมื่อรักกันไม่ได้ก็ไม่รัก ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหน
ไม่รักเราเราจักไม่รักใคร เอ๊ะน้ำตาเราไหลทำไมฤๅ
(สุจิตต์ วงษ์เทศ)
*************************************************
๔. สัลลาปังคพิไสย(บทโศก) คือการกล่าวข้อความแสดงอารมณ์โศกเศร้า อาลัยรัก บทโศกของนางวันทอง ซึ่งคร่ำครวญอาลัยรักต้นไม่ในบางขุนช้าง อันแสดงให้เห็นว่านางไม่ต้องการตามขุนแผนไป แต่ที่ต้องไปเพราะขุนแผนร่ายมนต์สะกด ก่อนลานางได้ร่ำลาต้นไม้ก่อนจากไป จากเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนพานางวันทองหนี
ลำดวนเอยจะด่วนไปก่อนแล้ว ทั้งเกดแก้วพิกุลยี่สุ่นสี
จะโรยร้างห่างกลิ่นมาลี จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
สุนทรภู่คร่ำครวญถึงรัชกาลที่2ซึ่งสวรรคตแล้ว
เป็นเหตุให้สุนทรภู่ต้องตกระกำลำบาก เพราะไม่เป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่3 ต้องระเห็ดเตร็ดเตร่ไปอาศัยในที่ต่างๆขณะล่องเรือผ่านพระราชวัง
สุนทรภู่ซึ่งรำลึกความหลังก็คร่ำครวญอาลัยถึงอดีตที่เคยรุ่งเรืองจากนิราศภูเขาทอง
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์
(สุนทรภู่)